การบรรยายเรื่อง “White Heart” หรือ “หัวใจสีขาว”
ของพี่ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ก็จบลงอย่างสมบูรณ์แบบครับ
มีผู้เข้าร่วมฟังการบรรยาย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย
มาขอถ่ายรูป ขอลายเซ็น ขอหนังสือ สวมกอด กับพี่ดนัยของเราอย่างล้นหลาม
ตัวผมและพี่ๆทีมงานได้แต่มองหน้ากันแบบเขินๆ จนผมแอบนึกในใจว่า
‘อ้าว…ไม่เห็นมีใครมากอดพวกเราเลยแฮะ เมื่อคืนก็ไม่ได้นอนนะ นั่งเตรียมงานกันทังคืน (T_T)’
และแล้ว! ก็มีเสียงแว่วเข้ามาจากด้านหลังของผมว่า
“โทษนะคะ ถ่ายรูปด้วยนะคะ”
แหมะ! ในที่สุดก็มีคนเห็นความสำคัญของเราแล้วหรอนี่
ผมรีบหันไปทางต้นเสียงทันทีพร้อมกับกล่าวด้วยหน้าตายิ้มแย้มสุดๆ ว่า
“ยินดีเลยครับ ”
ภาพที่เห็นตรงหน้า คือ ข้าราชการผู้หญิงคนหนึ่ง
วัยประมาณสามสิบต้นๆ ใกล้เคียงกับผมนี่ล่ะครับ
เธอส่งยิ้ม พร้อมยื่นโทรศัพท์มือถือให้ผม แล้วพูดด้วยเสียงอันอ่อนโยนว่า
“ช่วยถ่ายรูปให้หน่อยนะคะ จะเดินขึ้นไปถ่ายกับคุณดนัยค่ะ”
โอ้!! ความหวังที่มีดับวูบลงทันทีครับ
‘เค้าขอให้เราเป็นคนถ่าย ไม่ใช่ขอถ่ายรูปกับเรานี่หว่า!‘
ผมยื่นมือไปรับโทรศัพท์มาแบบเสียไม่ได้
พยายามคงรอยยิ้มไว้ แม้ในใจจะรู้สึกเสียฟอร์มอย่างสุดซึ้ง
และถึงจะเสียฟอร์ม(ไปนิด) แต่ก็ไม่เสียใจครับ เพราะพี่ดนัยก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่า
การเป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มันมีพลังมากมายที่ผู้รับก็จะรู้สึกได้
อีกทั้งตัวผู้ให้เองก็จะได้รับความรักและความไว้วางใจเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ดังนั้น ถ้าเราตั้งใจทำความดีต่อไปโดยไม่หวังผลตอบแทน
อีกหน่อยเราต้องเป็นขวัญใจชาวนราธิวาสและอีกหลายๆ แห่ง
เหมือนที่พี่ดนัยเป็นได้อย่างแน่นอนครับ
การบรรยายประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะพี่ดนัยได้ถูกทาบทามให้กลับมาบรรยายอีกครั้ง
ทั้งจากหน่วยงานสาธารณสุขและหน่วยงานอื่นๆ ที่มาร่วมฟังการบรรยายในวันนี้
และหลังจากจบการบรรยาย ผมก็ได้ยินคำชม และเห็นรอยยิ้มมากมาย
ทำให้ผมสัมผัสได้ว่า คนนราธิวาสเป็นคนน่ารักครับ
ถ้าเขาเปิดใจให้ใครสักคน เขาก็จะเปรียบเสมือนว่าคนๆ นั้นเป็นคนในครอบครัวของเขาเลยทีเดียว
หลังจากการบรรยายเสร็จสิ้นลง ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขก็ถามพี่ดนัยว่า
“มีสถานที่เที่ยวใกล้ๆ หรือที่ไหนที่อยากไปเป็นพิเศษไหม?”
เพราะไม่ไกลจากตัวเมืองนราธิวาส ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย
และเพื่อทางเจ้าหน้าที่จะได้จัดโปรแกรมพร้อมเตรียมกำลังพลดูแลได้อย่างเต็มที่
ซึ่งพี่ดนัยก็แสดงเจตจำนงทันทีว่า “จะขอตัวไปพักผ่อนก่อนครับ“
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดจึงได้ถอนกำลังกลับไป
แต่พี่ดนัยนี่ล่ะครับ จอมวางแผนเลย!
เราขึ้นไปพักผ่อนบนห้องพัก ทานลองกองในตระกร้าไปพวงสองพวง
เพื่อรอเวลาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารเดินทางกลับ
แล้วพี่ดนัยก็บอกกับทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขว่า
“ผมอยากไปเดินตลาด แต่ผมไม่อยากให้เจ้าหน้าที่ไปด้วย“
เพราะพี่ดนัยอยากจะพาพวกเราไปสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่จริงๆ ครับ
ผมนึกในใจว่า ‘พี่ดนัยคิดจะถามผมบ้างไหมครับว่า ผมกลัวรึเปล่า‘
แต่ก็เอาเถอะ ถ้าพี่ดนัยไม่กลัว ผมก็ต้องไม่กลัวด้วยเหมือนกัน …
ที่ลอบบี้โรงแรม มีเจ้าหน้าที่จากสาธารณสุขสองท่านมารอรับเราครับ คือ พี่วรรณและพี่เกี๋ยน
พี่วรรณนั้นดูเป็นผู้หญิงวัยกลางคน อายุประมาณสี่สิบต้นๆ
ถึงแม้จะมีลูกมีครอบครัวแล้ว แต่พี่วรรณก็ยังเป็นข้าราชการที่ยังดูสวยและสง่างามอยู่
พี่วรรณเป็นคนท้องที่เฉกเช่นเดียวกับพี่เกี๋ยน
พี่เกี๋ยนเป็นผู้หญิงอายุประมาณห้าสิบกว่าๆ ดูเป็นคนใจดีและยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา
ทั้งคู่เป็นคนไทยพุทธ อาจจะมีเชื้อสายจีนอยู่บ้าง จึงมีลักษณะคล้ายๆ คนส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ
ตอนแรกพี่วรรณและพี่เกี๋ยนก็มีความลังเล ที่จะพาคณะเราไปตลาดในเมืองนราธิวาส
โดยไม่มีทีมเจ้าหน้าที่คอยคุ้มกันใดๆ แต่พี่ดนัยก็ยืนยันว่า
“เมื่อเรามานราธิวาส เราจะต้องไปพูดคุยกับชาวนราธิวาสแท้ๆ“
ด้วยความตั้งใจของพี่ดนัย พี่วรรณจึงขัดไม่ได้
ต้องพาพวกเราทุกคนออกเดินทางโดยรถตู้เข้าไปในตัวเมือง
การเดินทางออกจากโรงแรม โดยที่ไม่มีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจคุ้มกัน
ไม่มีเครื่องตัดสัญญาณระเบิด ไม่มีรถเกราะหุ้มกระสุน
ทำให้ผมตื่นเต้นกว่าไปสวนสนุกไหนๆ ในประเทศอเมริกาซะอีก
ในใจผมมีแต่คำถามผุดขึ้นมาว่า
‘เมื่อไรจะถึงสักที? ถ้าระเบิดขึ้นมาจะมีความรู้สึกเจ็บไม๊?’
อีกแล้วครับ คนฟุ้งซ่านอย่างผมก็นึกไปไกล ต่างๆ นาๆ
และก็เหมือนเช่นเคยครับ นั่งคิดไปคิดมาก็ถึงตลาดเสียแล้ว …
ทันที่ที่ผมและคณะก้าวเท้าลงจากรถตู้
เจ้าความรู้สึก “กลัว” ที่นั่งติดกับผมมาตลอดทาง กลับมลายหายไปหมด
ตลาดที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของผมนั้นเป็นตลาดเล็กๆ ผู้ซื้อผู้ขายส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิม
ซึ่งเป็นประชากรรวมประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของจังหวัดนราธิวาส
ตลาดปลาแห่งนี้เป็นตลาดที่คึกคักไม่เบา มีปลาหน้าตาแปลกๆที่ผมไม่เคยเห็นมากมาย
![]() |
![]() |
ชาวไทยมุสลิมมองเราเหมือนกับว่า เราเป็นตัวประหลาด
เราจึงกลายเป็น จุดเด่น ของตลาดแห่งนี้ในทันที
สิ่งที่ผมสัมผัสได้กลับไม่ใช่ความอาฆาตมาดร้าย หรือความหวาดระแวง
แต่กลับเป็นรอยยิ้มและความรู้สึกยินดีว่า
‘ในที่สุด จังหวัดเราก็มีผู้มาเยือนสักที หลังจากที่ไม่ได้เห็นคนนอกพื้นที่มาเป็นเวลาแสนนาน’
ชาวมุสลิมหลายท่านเดินเข้ามาคุยกับเราอย่างเป็นมิตร
เราก็ได้ขอถ่ายรูปบรรยากาศและพูดคุยถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบของชาวบ้าน
ถึงตอนนี้เอง พี่บิ๊ก หนุ่มนักขายประกันจากเมืองจันทบุรีของเรา
ก็ได้โชว์ความสามารถในการเข้าถึงผู้คน ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ เด็ก ผู้หญิง ชนิดที่ไร้กำแพงมาบดบัง
ด้วยบุคลิกลักษณะและความสามารถของนักขายประกันมือหนึ่ง
พี่บิ๊กสามารถพูดคุย หยอกล้อ กับเหล่าชาวบ้านได้อย่างเป็นธรรมชาติ เสมือนอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน
ทำให้เราได้ยินเสียงหัวเราะ และรอยยิ้ม ไปตลอดเส้นทางของการเดินตลาดแห่งนี้
(ผมว่า ถ้าพี่บิ๊กลงสมัครเลือกตั้งท้องถิ่น พี่เขาลอยลำมาอย่างแน่นอนครับ ^^b )
ระหว่างทาง เราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอัดวีดีโอเก็บบรรยากาศ
แม่ค้าหลายท่านเห็น จึงถามว่า มาจากรายการอะไร?
เราก็ไม่รู้จะตอบยังไงครับ
เพราะไม่แน่ใจว่าชาวบ้านจะคิดมากหรือไม่ อย่างเช่น
เรามาถ่ายทำไม? หรือมองเค้าเป็นตัวประหลาดหรือเปล่า?
“ถ้าจะให้เขาออกอากาศ ไม่เอาช่องสามนะ
เพราะเราดูแต่ช่องเจ็ด”
แม่ค้าอารมณ์ดีของเราประกาศเสียงดัง
แล้วก็ถามเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
จะออกอากาศตอนไหน?
แต่ก็เพื่อกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด
ผมจึงบอกชาวบ้านไปว่า
“ชื่อรายการ ‘ธรรมดี’ ครับ อัดไว้ก่อน ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะฉายข่องไหน
แต่ยังไงก็รอติดตามดูนะครับ ไม่แน่ อาจจะมีในช่องเจ็ดก็ได้ “
อีกบรรยากาศที่น่าประทับใจ ก็คือ
แม่ค้าขายผักสาวชาวไทยมุสลิมของเรา
ที่นอกจะไม่กลัวกล้องแล้ว
หรือจะให้ชัดเจน ต้องเรียกว่าเป็น
“ดาราหน้ากล้อง” เลยดีกว่าครับ
เธอโพสต์ท่าถ่ายรูปต่างๆ อย่างไม่เคอะเขิน
และก็ชวนเพื่อนชาวมุสลิมอีกหลายท่าน
มาถ่ายรูปร่วมกับเรา ราวกับว่า
เขากลายเป็นคนสำคัญในตลาดแห่งนี้ในทันที
ถึงตอนนี้อยากจะบอกพี่ดนัยครับว่า
‘เลิกเขียนหนังสือธรรมะ แล้วมาเปิดช่องเคเบิลทีวีเสียดีกว่านะครับ ^^’
เราใช้เวลาสักพักใหญ่ๆ ในการเดินชมตลาดท้องถิ่นแห่งนี้ครับ
โดยสิ่งที่เราได้มาจากตลาดนั้น ไม่ใช่อาหารหรือข้าวของเครื่องใช้ใดๆ
แต่กลับเป็น มิตรภาพและรอยยิ้มของชาวเมืองนราธิวาส
ซึ่งอาจจะเปรียบเสมือนสิ่งของหายากไปแล้ว ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบ ณ ขณะนี้
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเหล่านิ้เกิดจาก ความรู้สึกยินดีที่มีผู้มาเยือน
และความรู้สึกว่า นราธิวาสไม่ได้ถูกทิ้งอยู่ในความอ้างว้างอีกต่อไป
และผมรู้สึก ‘รักนราธิวาส‘ ขึ้นมาซะแล้วครับ
ถึงตรงนี้ ผมมีคำถามอยากถามทุกท่านว่า
‘เวลาท่านผู้อ่านไปเดินตลาดหรือห้างสรรพสินค้า ท่านเคยมีความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้หรือไม่?
รู้สึกได้ถึงมิตรภาพของผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอยหรือไม่?’
สถานที่แห่งนี้ถึงแม้เหมือนจะถูกตัดขาดกับจังหวัดอื่นๆ
แต่กลับให้ ความรัก และ มิตรภาพอันบริสุทธิ์ กับทุกคนที่มาเยือน
แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสถานที่ที่แสนสะดวกสบาย มีแอร์เย็นๆ
สามารถเข้าไปจับจ่ายใช้สอยกันอย่างสนุกสนาน
แต่กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงพลังและมนต์เสน่ห์ใดๆเลย
ผมเชื่อเหลือเกินว่า ผู้คนชาวนราธิวาสเป็นคนที่มีจิตวิญญานที่สูงส่ง
และพร้อมที่จะหยิบยื่นมิตรภาพดีๆ ให้กับทุกคนที่พบเจอ
ถึงตอนนี้ถ้าใครจะมองว่านราธิวาสเป็นจังหวัดที่น่ากลัว ไม่น่าเข้าใกล้
ก็คงจะต้องทำความเข้าใจเสียใหม่แล้วนะครับ
เพราะสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ คือ ‘คุณธรรม’ และ ‘จิตวิญญาณ’ ของคนที่ ‘ลดต่ำลง’ ต่างหากครับ
เจ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา
ฉะนั้น เรามายิ้มรับและสัมผัสใจของชาวนราธิวาสด้วยกันนะครับ
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ…
m(_ _)m
Joejo’
http://jakrapol.wordpress.com/